ความคิดเห็นเรื่องกระบวนทัศน์ทางการศึกษาควรจะเปลี่ยนไปอย่างไร
จากหนังสือ “สภาวการณ์การศึกษาไทยในเวทีโลก
2556”
โดย นายศรสกล กัลยา
นิสิตปริญญาโท สาขาวิจัยและสถิติทางการศึกษา
สถานการณ์การศึกษาของโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้โลกที่เราเคยคิดว่ากว้างแต่ปัจจุบันแคบลงแค่ลัดนิ้วมือเดียว
ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้หาได้จากห้องสมุดออนไลน์ ไม่ต้องเดินทางไปที่ห้องสมุดก็สามารถอ่านหนังสือหาความรู้จากห้องสมุดออนไลน์
ผ่านระบบอินเตอร์เน็ททำให้การศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทันสมัย
ทันเหตุการณ์โลกปัจจุบัน
ในระบบการศึกษาของประเทศที่เจริญแล้วได้มีการจัดระบบการศึกษาตั้งแต่
ขั้นก่อนประถมศึกษาจนถึงภาคบังคับ ตามบริบทของประเทศของตน ส่วนการศึกษาในภูมิภาคอาเซียนก็ได้มีการจัดระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศ
และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ที่จัดระบบการศึกษาที่มีรูปแบบเหมือนกันกับประเทศ
ที่เจริญทางด้านการศึกษาได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐ และเกาหลี
หากจะกล่าวถึงการศึกษาพอจะให้ความหมายว่า
การศึกษา คือ กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การสืบสานทางวัฒนธรรม
การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ
การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (มาตรา 4 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ) จากความหมายดังกล่าวจะเห็นว่าการศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีความเจริญงอกงามและส่งผลต่อระบบการศึกษาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากข้อมูลทางด้านสถิติของหนังสือ
“สภาวการณ์การศึกษาไทยในเวทีโลก 2556” ทำให้เราเห็นสภาพปัญหาทางด้านการศึกษาที่กำลังถดถอย
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตระหนักถึงผลที่เกิด เร่งสร้างปรากฏการณ์ทางการศึกษาโดยการเปลี่ยนทัศนคติใหม่ต่อการเรียนรู้
จากครูสู่นักเรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย
ให้นักเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้โดยใช้ สื่อต่างๆ ภาพเคลื่อนไหว การทำโครงงาน
การเรียนโดยวิธี Active learning การเรียนแบบสืบค้น ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้เลย
หากผู้นำทางการศึกษาไม่ตระหนักและเล็งเห็นผลที่จะตามมาในอนาคตอันใกล้
โดยการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ตัวเองใหม่ ให้มีความใหม่และเก่าปะปนกันไปอย่างสอดคล้องประสานกลมกลืนกันไป
เหมือนเกลียวคลื่นลูกใหม่และลูกเก่าที่คอยเกื้อหนุนประสานกัน ร่วมกันคนละไม้คนละมือ
การศึกษาและอนาคตของชาติ ย่อมเจริญขึ้นแน่นอน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ยาทิสัง วะปะเต
พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง กัลยาณะการี กัลยาณัง ปาปะการี
จะ ปาปะกัง” บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว (พุทฺธพจน์ สํ.ส ๑๕/๓๓๓.)
ถ้าการปลูกพืชคือกระบวนการเรียนรู้ใหม่หลากหลายแล้ว
ผลคือผู้ที่ได้รับความรู้จากเราได้เป็นมนุษย์ที่มีความสมบรูณ์ทั้งทางด้านร่างกาย
จิตใจ ไปพร้อมๆกัน ทำให้ประเทศของเราอุดมไปด้วยสังคมแห่งปัญญา มีแรงงานก็เป็นแรงงานคุณภาพมีการศึกษา วัยกลางคนก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ วัยชราก็เป็นวัยของผู้ทรงภูมิปัญญาแห่งนักปราชญ์ที่มากไปด้วยประสบการณ์ พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ประเพณีและวัฒนธรรมทางสังคม จากรุ่นสู่รุ่น ที่ดีงามต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น