วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ความคิดเห็นเรื่องกระบวนทัศน์ทางการศึกษาควรจะเปลี่ยนไปอย่างไร จากหนังสือ “สภาวการณ์การศึกษาไทยในเวทีโลก 2556”


ความคิดเห็นเรื่องกระบวนทัศน์ทางการศึกษาควรจะเปลี่ยนไปอย่างไร

จากหนังสือ “สภาวการณ์การศึกษาไทยในเวทีโลก 2556”

โดย  นายศรสกล  กัลยา

นิสิตปริญญาโท สาขาวิจัยและสถิติทางการศึกษา


          สถานการณ์การศึกษาของโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้โลกที่เราเคยคิดว่ากว้างแต่ปัจจุบันแคบลงแค่ลัดนิ้วมือเดียว ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้หาได้จากห้องสมุดออนไลน์ ไม่ต้องเดินทางไปที่ห้องสมุดก็สามารถอ่านหนังสือหาความรู้จากห้องสมุดออนไลน์ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ททำให้การศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทันสมัย ทันเหตุการณ์โลกปัจจุบัน



          ในระบบการศึกษาของประเทศที่เจริญแล้วได้มีการจัดระบบการศึกษาตั้งแต่ ขั้นก่อนประถมศึกษาจนถึงภาคบังคับ ตามบริบทของประเทศของตน ส่วนการศึกษาในภูมิภาคอาเซียนก็ได้มีการจัดระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศ และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียน ที่จัดระบบการศึกษาที่มีรูปแบบเหมือนกันกับประเทศ ที่เจริญทางด้านการศึกษาได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐ และเกาหลี

          หากจะกล่าวถึงการศึกษาพอจะให้ความหมายว่า การศึกษา คือ กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (มาตรา 4 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 ) จากความหมายดังกล่าวจะเห็นว่าการศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีความเจริญงอกงามและส่งผลต่อระบบการศึกษาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  
   

          จากข้อมูลทางด้านสถิติของหนังสือ “สภาวการณ์การศึกษาไทยในเวทีโลก 2556” ทำให้เราเห็นสภาพปัญหาทางด้านการศึกษาที่กำลังถดถอย ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตระหนักถึงผลที่เกิด เร่งสร้างปรากฏการณ์ทางการศึกษาโดยการเปลี่ยนทัศนคติใหม่ต่อการเรียนรู้ จากครูสู่นักเรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้นักเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้โดยใช้ สื่อต่างๆ ภาพเคลื่อนไหว การทำโครงงาน การเรียนโดยวิธี Active learning การเรียนแบบสืบค้น ฯลฯ


          สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้เลย หากผู้นำทางการศึกษาไม่ตระหนักและเล็งเห็นผลที่จะตามมาในอนาคตอันใกล้ โดยการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ตัวเองใหม่ ให้มีความใหม่และเก่าปะปนกันไปอย่างสอดคล้องประสานกลมกลืนกันไป เหมือนเกลียวคลื่นลูกใหม่และลูกเก่าที่คอยเกื้อหนุนประสานกัน ร่วมกันคนละไม้คนละมือ การศึกษาและอนาคตของชาติ ย่อมเจริญขึ้นแน่นอน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง  กัลยาณะการี กัลยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง” บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว  (พุทฺธพจน์ สํ.ส ๑๕/๓๓๓.) 
   ถ้าการปลูกพืชคือกระบวนการเรียนรู้ใหม่หลากหลายแล้ว ผลคือผู้ที่ได้รับความรู้จากเราได้เป็นมนุษย์ที่มีความสมบรูณ์ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ไปพร้อมๆกัน ทำให้ประเทศของเราอุดมไปด้วยสังคมแห่งปัญญา มีแรงงานก็เป็นแรงงานคุณภาพมีการศึกษา วัยกลางคนก็เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ วัยชราก็เป็นวัยของผู้ทรงภูมิปัญญาแห่งนักปราชญ์ที่มากไปด้วยประสบการณ์ พร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ประเพณีและวัฒนธรรมทางสังคม จากรุ่นสู่รุ่น ที่ดีงามต่อไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น